พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานชื่อ "สถาบันราชภัฎ" เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์2535
ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2538 ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาว
ราชภัฏเป็นล้นพ้นด้วยทรงเมตตาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชลัญจกรประจำพระองค์ให้เป็น "สัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ"โดยเฉพาะนับเป็นมหาสิริมงคลอันควรที่ชาวราชภัฏทั้งมวลจักได้ภาคภูมิใจและพร้อมใจกันปฏิบัติหน้าที่สนองพระมหากรุณาธิคุณนี้อย่างสุดความสามารถ |
ในการปฏิบัติหน้าที่สนองพระมหากรุณาธิคุณชาวราชภัฏจำเป็นต้องมีอุดมการณ์ร่วมกันเพราะ
อุดมการณ์เป็นเครื่องกำกับทิศทาง และแนวทางการดำเนินงานมิให้คลอนแคลนหรือเลื่อนลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์
ในเมื่อคำว่า "ราชภัฏ"แปลว่า "คนของพระราชา " และ" สัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ" ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ "พระราชลัญจกรประจำพระองค์ของพระราชา" ดังนั้น
อุดมการณ์ของชาวราชภัฏ ก็ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอุดมการณ์แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัวด้วย สาระสำคัญของอุดมการณ์ดังกล่าวนี้ สามารถพิจารณาได้จากรูปต่างๆ
ที่ปรากฏอยู่ในพระราชลัญจกรประจำพระองค์หนึ่งนั่นเอง กล่าวคือ |
ประการแรก รูปที่โดดเด่นที่สุดในพระราชลัญจักร
ประจำพระองค์คือ รูปเศวตฉัตรเจ็ดชั้นที่ตั้งอยู่บนพระที่นั่งอัฐทิศพระที่นั่งองค์นี้สร้างจากไม้อุทุมพรหรือไม้มะเดื่อ
ปัจจุบันประดิษฐานในพระที่ นั่งไพศาลทักษิณด้านบนทิศตะวันออก
ในวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นประทับเหนือพระที่นั่งองค์นี้
เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกที่ผู้แทนของประชาชนจากทิศ ทั้งแปดทูลเกล้าฯ
ถวายซึ่งแปลความหมายได้ว่าประชาชนเป็นผู้กราบบังคมทูล ถวายแผ่นดินให้ทรงครองและพร้อมใจกันอัญเชิญพระองค์เสด็จขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
โดยตรงตามคติความเชื่อของการสถาปนา พระมหากษัตริย์โดยยินยอมพร้อมใจของปวงชนที่เรียกว่า "อเนกนิกรสโมสรสมมุติ" นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ที่พระมหากษัตริย์ทรงรับแผ่นดินและน้ำอภิเษกจากประชาชนแทนการรับจากราชบัณฑิตดังในรัชกาลก่อนพระที่นั่งอัฐทิศหรือพระแท่นแปดทิศจึงเป็นสัญลักษณ์แทนแผ่นดินส่วน
เศวตฉัตรหรือฉัตรขาวเป็นเครื่องหมายของ "ธรรมราชา" คือพระราชาผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาเช่น
มหาวงค์เรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า "เศวตฉัตรธำรง" ซึ่งแปลว่าผู้ทรงฉัตรขาวและเรียกภิกษุว่า
กาฬฉัตรธำรง" คือ ผู้ถือร่มดำ การที่พระบรมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สูงแห่งมหาชนสยาม" นั้นทรงยืนยัน
ความเป็นธรรมราชาของพระองค์ให้เป็นที่ปราฏในแผ่นดินโดยแท้ จนถึงวันนี้ก็ทรงปฏิบัติตามพระปฐมบรมราชโองการ
นี้โดยตลอดสำหรับชาวราชภัฏรูปของฉัตรขาวเจ็ดชั้นที่ตั้งบนแท่นแปดทิศนั้นย่อมต้องแปลความว่าชาวราชภัฏคือผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยตั้งอยู่บนความถูกต้องชอบธรรมกับต้องร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์ความถูกต้องชอบธรรมเพื่อความเจริญ
ก้าวหน้าของท้องถิ่น |
ประการที่สอง ใต้เศวตฉัตรลงมาเป็นรูปวงจักรกลางจักรเป็นอุณาโลม
หรือเลขเก้ารูป วงจักรนั้นเป็นสัญลักษณ์ของชาวราชวงศ์จักรีคำว่า "จักรี" มีความหมายได้เป็นสองนัย
นัยหนึ่งหมายความว่า ราชวงศ์นี้สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งที่ "เจ้าพระยาจักรี" ก่อนจะปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
อีกนัยหนึ่งหมายความว่า ราชวงศ์นี้สืบเนื่องมาจากพระนารายณ์
ซึ่งพระนามอีกอย่างหนึ่ง "พระจักรี"แปลว่า ผู้ทรงจักร
ตามคติความเชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินคือ พระนารายณ์อวตารลงมาปราบยุคเข็ญดังมีการถวายพระนามแด่พระเจ้าแผ่นดินอีกอย่างหนึ่ง
ว่า "พระรา" หรือ "พระรามาธิบดี" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเป็นพระรามที่เก้า |
สำหรับรูปอุณาโลม
ที่มีลักษณะเหมือนเลขเก้านั้น หมายถึง พระเนตรดวงที่สามของพระอิศวรเป็นพระราชสัญลักษณ์
ประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อมีรูปนี้อยู่กลาง
วงจักร จึงแปลความหมายได้เป็นสองอย่าง อย่างแรกแปลความหมายได้ว่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์จักรี
อย่างที่สองหากดูรูปอุณาโลม เป็นเลขเก้าก็แปลความหมายได้อีกอย่างหนึ่งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินลำดับที่เก้า แห่งราชวงศ์จักรีวงศ์
พึงทราบว่าภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีสถานะเสมอด้วยเทวราชาวงจักรและอุณาโลมก็คือเครื่องหมายแห่งเทวราชานั่นเองจักรเป็นเทพอาวุธซึ่งเป็นทิพยศาสตราอันทรงฤทธานุภาพของพระนารายณ์ส่วนอุณาโลมหรือพระเนตรดวงที่สามของพระอิศวรนั้นมีมหิทธานุภาพยิ่งหากทรงลืมพระเนตรดวงที่สามนี้เมื่อใดจักวาลจักไหม้เป็นจุลทันทีแต่ทั้งวงจักรและอุณาโลมล้วนอยู่ใต้เศวตฉัตรซึ่งแปลความหมายโดยรวมได้ว่าแม้ว่าพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมเดชานุภาพก็ทรงใช้พระราชอำนาจนั้นโดยคำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข
ของพสกนิกรทุกหมู่เหล่าในแผ่นดินเป็นสำคัญ
สำหรับชาวราชภัฏ
รูปวงจักรคือสัญลักษณ์ของศาสตรา หรือศาสตร์อันทรงอานุภาพหมายความว่าสถาบันราชภัฏต้องเป็นแหล่ง
รวมวิทยาการของท้องถิ่น ส่วนรูปอุณาโลมคือ สัญลักษณ์ของปัญญาอันยิ่ง
เพราะแสงสว่างแห่งปัญญานั้นไม่มีแสงสว่างใด เสมอเหมือนหมายความว่าสถาบันราชภัฏ
ต้องเป็นผู้นำทางปัญญาของชุมชน |
ประการที่สาม รูปรัศมีสีทองเปล่งประกายออกไปในทุกทิศทางรวมทั้งสิ้น
32 แฉกนั้นหมายถึงพระบรมเดชานุภาพ32 ประการ แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่แผ่กระจายออกไป เพื่อยังความร่มเย็นเป็นสุขให้บังเกิดขึ้นกับมวลพสกนิกร
ในทุกสารทิศทั้งนี้เป็นการสืบสานคติความเชื่อของคนไทยแต่โบราณมาว่าพระเจ้าแผ่นดิน
คือผู้ทรงบุญญาธิการสมบูรณ์ด้วย พระคุณลักษณะและพระคุณธรรมของมหาบุรุษทั้ง
32 ประการ โดยที่ทุกประการนั้น ล้วนบำเพ็ญเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนทั้งสิ้น
สำหรับชาวราชภัฏ รูปรัศมีทอง 32 แฉก คือ สัญลักษณ์ของพลังแห่งความจริง
ความดี ความงามที่เปล่งประกายออกไป จากสถาบันราชภัฏเพื่อความเจริญก้าวหน้าอันมั่นคงและยั่งยืนให้บังเกิดขึ้นกับท้องถิ่น
ดังพิจารณามาตามลำดับนั้น
จะเห็นได้ว่าความหมายของรูปต่างๆที่ปรากฎอยู่ในสัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ
เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอันวิเศษ สมควรอย่างยิ่งที่จะน้อมความหมายดังกล่าวมาเป็นอุดมการณ์ของสถาบันราชภัฎ
ซึ่งพระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ. 2538 ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้เป็น "สถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น" หากชาวราชภัฏได้ร่วมแรงร่วมใจกัน
ปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุสู่อุดมการณ์นี้สถาบันราชภัฏก็จะเป็นความหวังและเป็นที่พึ่ง
ทางการศึกษาของท้องถิ่น สามารถทำหน้าที่ เป็น "มหาวิชชาลัย" คือเป็น "ที่อาศัยแห่งความรู้อันยิ่งใหญ่"และเป็น "โพธิยาลัย" คือเป็น "ที่อยู่แห่งแสงสว่าง" พร้อมที่จะเรียนรู้เบื้องพระยุคลบาทศึกษาสืบสาน
และสร้างสรรค์งานตามแนว พระราชดำริให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดทางการศึกษาต่อปวงชนชาวไทย
ยังผลให้ชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศเกิดความเจริญก้าวหน้า มั่นคงและยั่งยืนให้สมกับที่ราชภัฏเป็น
"คนของพระราชาข้าของแผ่นดิน" อย่างแท้จริง
ควรจะได้บันทึกไว้ให้เป็นที่ปรากฎ
ณ ที่นี้ว่า พระราชลัญจกรประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งงดงาม ทั้งรูปแบบ และลึกซึ้งทั้งความหมายนั้น คณะกรรมการที่คิดแบบขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวายประกอบด้วย พลเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์กรมพระยาชัยนาทเนรนทร
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ กรมหมื่นพิทยาลาภพฤฒิยากรและพระยาเทวาธิราช
ป.มาลากุล สมุหพระราชพิธี ส่วนผู้ที่แกะพระราชลัญจกรองค์นี้ขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวาย คือหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร สถาปนิกคนสำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
อนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบหกรอบ
นักษัตรในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 นับเป็นมหามงคลสมัยที่ชาวราชภัฏทั้งมวล
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายใต้ พระราชลัญจกร แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จัดได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และ "รู้ รัก สามัคคี" ในอันที่จะพัฒนาสถาบันราชภัฏ
ให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์ทั้งนื้เพื่อน้อมเกล้า
ฯ ถวายเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติ แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสอันสำคัญยิ่งนี้ |
|